OLD MAN TOURING I ขี่ 2 ล้อเที่ยวภูทับเบิกช่วงหน้าฝน ในปี 2567

หลังจากห่างหายไปนานจากการเขียน Blog วันนี้ผมกลับมาเขียนใหม่อีกครั้งในรอบหลายปี ว่ากันด้วยทริปท่องเที่ยวเขาค้อ-ภูทับเบิกในช่วงหน้าฝน ซึ่งปีที่ผมเขียนบทความนี้ คือ ปี 2567 นั้นเองครับ 


เริ่มต้นจากเตรียมตัวออกจากกรุงเทพมหานครในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567

ทริปนี้เราเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์ Versys X300 ไปพร้อมกับน้องแป้ง โดยโหลดของเต็มพิกัดปี๊ป 3 ใบ พร้อมบำรุงรักษารถเป็นอย่างดี เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนยาง ถ่วงยาง เปลี่ยนโซ่ เปลี่ยนดิสเบรคหน้าใหม่ ปรับปรุงกันแคล้งเครื่องยนต์ ที่เดิมมันจะมีปัญหาที่มันกระพรือและเคาะกับคอท่อในช่วงบางรอบของเครื่องยนต์ ต้องเรียกว่าพร้อมสุดๆ สำหรับทริปนี้ครับ 




วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 

04.00 น. 

ล้อหมุนออกจากกรุงเทพมหานคร โดยใช้เส้นทางวังน้อย-สระบุรี-มุ่งหน้าขึ้นจังหวัดลพบุรี-และยิ่งยาวๆไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งระหว่างทางเราพบรถจำนวนมหาศาลที่เดินทางออกจากกรุงเทพ และคิดว่าน่าจะไปที่จังหวัดเพชรบูรณ์เช่นเดียวกัน 


9.00 น.
เดินทางถึงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เรามุ่งหน้าเข้าไปขับรถเล่นภายในเขาค้อที่เต็มไปด้วยเส้นทางและถนนที่สวยงาม โดยจุดแรกที่เราแวะพักกันนั้นก็ คือ วัดเอี่ยมสำอางค์ ที่มีองค์ประทานองค์ใหญ่ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาที่โดดเด่นและสวยงาม 


10.30 น. 
หลังจากที่เราถ่ายรูปอย่างจุใจแล้ว เราก็ขับรถเที่ยวกันต่อภายในเขาค้อ โดยจุดที่เรานั้นก็ คือ อนุเสาวรีย์ผู้กล้า และพิธิภัณฑ์อาวุธ ซึ่งเราได้แต่ขับเข้าไปเที่ยวแต่เราไม่ได้แวะท่องเที่ยวกันภายใน เนื่องจากหิวข้าวมาก เราจึงเดินทางต่อไปบริเวณจุดชมทะเลหมอกเขาค้อ เพื่อไปรับประทานอาหารเช้ากันที่นั้นครับ
 

11.00 น. 
หลังจากที่เราทานอาหารเช้าและทานกาแฟกันเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินทางไปต่อกันที่วัดผาซ่อนแก้ว เนื่องจากเราคิดได้ว่าช่วงเวลานี้คนไม่น่าจะเยอะเท่าไหร่ แต่เมื่อพอไปถึงก็ผิดคาดครับ คนเยอะเช่นเดิม เราจึงเลือกที่จะเดินชมความสวยงามภายในวัดที่เจดีย์องค์ใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จ ซึ่งภายในก็สวยงามมากๆ เลยครับ 












นอกจากภายในเจดีย์ที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามแล้ว เรายังสามารถถ่ายรูปสวยๆ คู่กับองค์พระได้ที่บริเวณระเบียงชั้น 2 และชั้น 3 ของเจดีย์ ซึ่งก็ทำให้เราได้ภาพในมุมสวยๆ ของวัดผาซ่อนแก้วได้อีก 1 มุม ครับ 

12.30 น. 
หลังจากที่เราท่องเที่ยววัดผาซ่อนแก้วจนอิ่มหนำสำราญ เราก็กลับเข้ามาเที่ยวน้ำตกศรีดิษฐ์ ภายในเขาค้อกันต่อ ซึ่งเส้นทางก็ดูเหมือนจะวิ่งอ้อมไปอ้อมมา ซึ่งมันก็อ้อมจริงๆ ครับ แต่คิดซะว่า 1 ชีวิต เราคงได้มาเที่ยวเขาค้อได้ไม่บ่อยนัก ก็เลยขับรถเล่นอย่างเต็มอิ่ม แต่ที่ไม่ค่อยจะสนุกนั้นก็คือ รถที่หลั่งไหลจากกรุงเทพที่ค่อนข้างมาก ทำให้การจราจรภายในเขาค้อติดขัดอยู่หลายช่วงครับ 

แต่เมื่อเลี้ยวมาในเส้นทางไปน้ำตกศรีดิษฐ์ก็พบกับเส้นทางที่สวยงาม เพราะนับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้วิ่งในเส้นทางนี้ เมื่อมาถึงน้ำตก เราก็จะต้องเสียค่าเข้าคนละ 30 บาท และรถจักรยานยนต์ อีก 30 บาท ซึ่งรวมค่าเข้าเป็นจำนวน เงิน 90 บาทครับ 

ระหว่างทางเข้าไปยังน้ำตกจากที่จอดรถ เราก็จะพบร้านค้า ร้านอาหารมากมากซึ่งเราสามารถซื้อหาอาหารเข้าไปรับประทานได้ภายในน้ำตก แต่เนื่องจากเรากินอาหารเช้ามาอย่างหนักหน่วงเราก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรเข้าไปทานครับ 

เมื่อเราถึงน้ำตกสิ่งที่เราประทับใจมากนั้นก็คือ ความสวยงามของน้ำตกศรีดิษฐ์ที่เป็นลักษณะหน้าผาที่สวยงามและมีปริมาณน้ำที่เยอะมากๆ ซึ่งเราก็ได้ภายถ่ายสวยๆ มาหลายมุมเลยทีเดียวครับ 




13.30 น. 
เมื่อเราท่องเที่ยวน้ำตกจนอิ่มหนำ เราก็เดินทางไปต่อกันที่จุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ ซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกที่เราวางแผนกันว่าจะมาดูในวันพรุ่งนี้เช้า เราจึงเรามาสำรวจพื้นที่กันก่อนเนื่องจากเป็นทางผ่านเข้าที่พักนั้นเองครับ 

14.30 น. 
เมื่อเราถึงที่พัก "BALAN VIEW" หลังจากตื่นแต่เช้าและเดินทางกันมาอย่างหนักหน่วง เราก็ไม่ลืมที่จะซื้อเครื่องดื่มเย็นๆ เข้ามาดื่มที่ที่พักด้วย และไม่นานฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้เรานอนพักผ่อนกันอย่างเต็มอิ่มที่ที่พัก พร้อมกับเราจองชุดชาบูไว้ช่วงเย็น ทำให้เราไม่ต้องออกไปไหนอีกเลยในช่วงบ่ายวันนั้นครับ 




ชาบูชุดนี้ราคา 599 บาท สามารถทานกันได้ 4 คน  แต่เรากินกันเพียงแค่ 2 คน ก็เรียกว่าอิ่มกำลังดี เนื่องจากเราไม่ได้กินข้าวกลางวันบวกกับใช้พลังงานมาอย่างหนักหน่วง หลังจากอิ่มเราก็เข้านอนสบายท้อง หลับฝันดีครับ 

วันที่ 29 กรกฎาคม 2567 
7.00 น. เริ่มจากตื่นตอนเช้าหลังจากฝนที่ตกลงมาทั้งคืน เรามีนัดขึ้นไปชมทะเลหมอกกันบนเขาตะเคียนโง๊ะ ซึ่งเมื่อเราเดินทางไปถึงก็ต้องพบกับมวลชนมหาศาลที่หลังไหล่กันมาตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งเช้าวันนั้นเราก็ขาดไม่ได้เลยที่จะกินมาม่ารองท้องกันบนยอดเขาตะเคียนโง๊ะ ซึ่งมาม่าร้อนๆ กับวิวทะเลหมอกยามเช้ามันเป็นอะไรที่เข้ากันอย่างที่สุดครับ 





ปล.บริเวณทางขึ้นจุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ เส้นทางค่อนข้างชันมากๆ ดังนั้น หากใครที่ขับรถหรือขี่มอเตอร์ไซค์ไม่แข็ง ก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ รวมทั้งควรดูความหนาแน่นของการจราจรให้ดี อย่าให้รถไปหยุดช่วงกลางเนินเด็ดขาดนะครับ 

8.00 น. 
หลังจากที่เราชมวิวบนเขาตะเคียนโง๊ะเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เราก็กลับลงมาเที่ยวที่คาเฟ่ที่ชื่อว่า "ฟูจิแคมป์เขาค้อ" ซึ่งเป็นทั้งลานกางเต๊นท์ ร้านอาหาร ค่าเฟ่ โรงแรม และสถานที่ถ่ายรูปสุดชิค ซึ่งจะต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท แต่ค่าเข้านั้นสามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดค่าเครื่องดื่มด้านในได้ครับ ซึ่งเราก็ได้ภาพถ่ายสวยๆ มามากมายพอสมควรเลย ดังนั้น ใครแวะไปชมทะเลหมอกที่เขาตะเคียนโง๊ะ ผมก็แนะนำว่าอย่าลืมแวะเข้าไปถ่ายรูปที่สวยๆ ที่ฟูจิแคมป์กันด้วยนะครับ 

 







9.00 น. 
เมื่อเราถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อย ผมก็ไปส่งแฟนกลับเข้าที่พักเพื่อไปเตรียมตัวอาบน้ำและเก็บของ เพราะว่าวันนี้เรามีนัดที่จะขึ้นไปนอนบนภูทับเบิก ส่วนตัวผมก็ขอเวลาที่จะไปขี่รถเล่นบริเวณที่พักอีกนิดหน่อยเพื่อเก็บบรรยากาศสวยๆ ยามเช้ากับวิวทิวทัศน์ที่ธรรมชาติสุดๆ นั้นเองครับ แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนั้นก็คือ สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นความฟินอีกแบบที่ประทับใจและยากที่จะลืมเลือนครับ 





11.00 น. 
เดินทางออกจากเขาค้อมุ่งหน้าสู่ยอดภูทับเบิกโดยผ่านฝูงชนมหาศาลที่คับคลั่งอยู่ภายในเขาค้อ ทำให้เราต้องอาศัยวิชามุดเพื่อฟันผ่ามวลชนออกไป ซึ่งก็ต้องเรียกว่ายากลำบากและเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันครับ ซึ่งระหว่างทางขึ้นภูทับเบิก นอกจากเส้นทางที่มหาชันแล้วยังต้องเจอกับฝน หมอก อากาศที่หนาวเย็น การจราจรที่คับคลั่ง บอกเลยว่าครั้งต่อไปเราจะไม่เที่ยวเขาค้อ-ทับเบิกในช่วงวันหยุดยาวอีกเด็ดขาดครับ 555 

13.30 น. 
และแล้วเราก็เดินทางมาถึง "ภูสวรรค์" ซึ่งเป็นที่พักของเราที่ทับเบิกในค่ำคืนนี้ แต่เนื่องจากตอนที่เราไปถึงห้องพักยังทำความสะอาดไม่เสร็จ ผมกับแฟนจึงเดินออกไปหาอะไรกินกันบริเวณที่พัก ซึ่งเราก็เจอร้านอาหารตามสั่งของชาวบ้านที่อร่อย ไม่แพง แถมมาพร้อมกับวิวฟินๆ อีกด้วยครับ 




14.30 น. 
เข้าห้องพักอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว เย่ๆ ทั้งหนาว ทั้งเหนียวตัว ซึ่งที่พักของเราก็ไม่เลวนะครับ ราคา 1,000 บาท (เทศกาล) ซึ่งด้านหลังห้องพักก็มีระเบียงสวยๆ ไว้ให้นั่งชมวิวแบบฟินๆ ได้เลย ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องพักก็มาตรฐานครับ มีทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่นแบบแก๊ส พัดลม ซึ่งโดยทั่วไปที่พักที่ภูทับเบิกจะไม่มีแอร์อยู่แล้วครับ เนื่องจากอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี



16.00 น. 
หลังจากนั้นเดอะแก๊งค์ของเราก็เดินทางมาถึงที่พัก เราก็ขนย้ายสัมภาระต่างๆ อาบน้ำ อาบท่า เพื่อเตรียมปาตี้กันต่อที่ห้องพี่อ้น ซึ่งมีระเบียงที่กว้างใหญ่ นั่งกัน 10 กว่าคนสบายๆ ปรับทุกข์กันไปเรื่อยเปื่อยตามประสาเพื่อที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน จึงถึงเวลาประมาณ 22.00 น. ผมก็เมามากและแยกย้ายจากกลุ่มเพื่อกลับมานอนพัก รวมทั้งหลัง 22.00 น. ทางที่พักให้เรางดใช้เสียง ดังนั้นผมก็ไม่อยากทำตัวเสียมารยาทกับผู้พักผ่อนท่านอื่นๆ เราจึงเลือกที่กลับมานอนเก็บแรงครับ 





29 กรกฎาคม 2567 
07.00 น. 
วันสุดท้ายของการเดินทาง เราเริ่มจากตื่นเช้าไปไหว้พระที่วัดป่าภูทับเบิก ซึ่งเนื่องจากเราไปเช้ามาประตูโบสถ์ยังไม่เปิด เราจึงได้แต่ยื่นไหว้พระจากบริเวณด้านนอก ซึ่งก็ยังคงซึ่งความสวยงามและประทับใจเช่นเดิมครับ 


หลังจากไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเราก็ไปขี่รถเล่นที่สันมังกรภูทับเบิก ที่กำลังเป็นที่ฮอตฮิตกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็สวยงามสมคำล่ำรือจริงๆ ครับ ซึ่งเราก็ถ่ายภาพในมุมสวยๆ กันอย่างจุใจ 






หลังจากถ่ายรูปเล่นจนจุใจ เราก็กลับที่พักเพื่ออาบน้ำอาบท่า เก็บของและเดินทางกลับกรุงเทพ ซึ่งที่พักของเราจะพลาดไม่ได้เลยกับจุด Landmark ของภูทับเบิกซึ่งก็คือ ไม้กางเขน ที่เป็นสัญลักษณ์ของที่พักนั้นเองครับ 



จากนั้นเราก็มุ่งหน้ากลับบ้านเราที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งระหว่างทางต้องเรียกว่าทรหดกว่าขามาอย่างมาก เพราะสายฝนที่ตกกระหน่ำตลอดทั้งเส้นทาง อาการปวดเก๊า อากาศที่หนาวเย็น เรียกว่ากว่าเราจะถึงบ้านก็สะบักสะบอมพอสมควรเลย แต่ด้วยเส้นทางที่เรากลับจากทับเบิก เราวิ่งกลับเส้นพิษณุโลกและมุ่งหน้าถนนตากฟ้า หมายเลข 11 มุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเราก็ได้พบวิวสวยๆ ตลอดเส้นทาง รวมทั้งพลาดไม่ได้เลยที่จะแวะกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารซุ้มป่าสักชลสิทธิ ที่อาหารอร่อยและมีวิวทิวทัศน์แม่น้ำป่าสักที่สวยงาม ซึ่งเราก็จะขอลากันไปด้วยภาพถ่ายอาหารเย็นที่ร้านอาหารครับ 




...แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะครับ // 

Old Man Touring 
7.2024 
















ความคิดเห็น